แท็ก RFID คืออะไร?
แท็ก RFID ในรูปแบบพื้นฐานที่สุดจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
- เสาอากาศ (Antenna): สำหรับส่งและรับสัญญาณวิทยุ
- ชิป RFID หรือวงจรรวม (Integrated Circuit – IC): สำหรับเก็บข้อมูลประจำตัวของแท็ก เช่น รหัสสินค้า หรือข้อมูลอื่น ๆ
แท็ก RFID จะถูกติดกับวัตถุหรือสินค้าที่ต้องการติดตาม โดยใช้งานร่วมกับเครื่องอ่าน RFID และเสาอากาศ เพื่อส่งข้อมูลระหว่างกัน
การทำงานของแท็ก RFID
แท็ก RFID จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ (ซึ่งจัดเก็บอยู่ในชิป RFID) ไปยังเสาอากาศและเครื่องอ่านผ่านทางคลื่นวิทยุ โดยปกติแล้ว แท็ก RFID จะ ไม่มีแบตเตอรี่ในตัว (ยกเว้นในกรณีที่เป็นแท็กแบบ Active หรือ BAP) แต่จะรับพลังงานจากคลื่นวิทยุที่เครื่องอ่านส่งออกมา
เมื่อแท็ก RFID ได้รับคลื่นจากเครื่องอ่าน/เสาอากาศ พลังงานจะไหลผ่านเสาอากาศภายในแท็กไปยังชิป RFID ซึ่งพลังงานนี้จะเปิดใช้งานชิป และชิปจะทำการเข้ารหัสพลังงานด้วยข้อมูลที่ต้องการ แล้วส่งสัญญาณตอบกลับไปยังเครื่องอ่าน/เสาอากาศ
หน่วยความจำในแท็ก RFID
ภายในชิป RFID จะมีหน่วยความจำ 4 ส่วน หรือที่เรียกว่า Memory Banks ได้แก่
- EPC (Electronic Product Code): ใช้เก็บรหัสเฉพาะที่สามารถตั้งค่าได้ เพื่อระบุวัตถุที่แท็กถูกติดอยู่
- TID (Tag Identifier): เป็นรหัสเฉพาะของตัวแท็กที่โรงงานผลิตกำหนดมา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- User Memory: สามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้ เช่น เก็บข้อมูลเพิ่มเติมของสินค้า
- Reserved Memory: ใช้สำหรับคำสั่งพิเศษ เช่น การล็อกแท็ก หรือการขยายความจุของ EPC
ประเภท รูปทรง และคุณสมบัติของแท็ก RFID
ในปัจจุบันมีแท็ก RFID ให้เลือกหลายร้อยแบบ โดยมีหลายขนาด รูปทรง และคุณสมบัติที่ออกแบบเฉพาะตามลักษณะการใช้งาน วัสดุผิวที่แท็กต้องติดตั้ง และสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน เช่น
- แท็กสำหรับติดบนโลหะ (Metal Tag)
- แท็กกันน้ำ (Water Resistance Tag)
- แท็กทนความร้อน (High Temperature Tag)
- แท็กฝังในผ้า (Textile Tag)
- แท็กสำหรับซักล้างในอุตสาหกรรม (Laundry Tag)
- แท็กความจำสูง (High Memory Tag)
- แท็กที่ฝังเซนเซอร์เพิ่มเติม (RFID with Sensor Tag)
การเลือกแท็ก RFID ให้เหมาะสมกับการใช้งาน วัสดุ และสภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกใช้ RFID TAG
ประเภทของแท็ก RFID
เนื่องจาก RFID มีการใช้งานที่หลากหลายมาก แท็ก RFID เองจึงมีหลากหลายรูปแบบเช่นกัน และสามารถจัดแบ่งประเภทได้หลายวิธี การแบ่งประเภทที่พบบ่อยที่สุด คือ
- Inlay (อินเลย์): เป็นแท็กแบบบาง ราคาถูกกว่าชนิดอื่น มักใช้กับสติกเกอร์หรือฉลาก
ราคาประมาณ $0.09 – $1.75 ต่อชิ้น ขึ้นอยู่กับฟีเจอร์ที่มี - Hard Tag (แท็กแข็ง): เป็นแท็กที่แข็งแรง ทนทาน กันน้ำ กันสภาพอากาศ เหมาะสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
ราคาประมาณ $1.00 – $20.00 ต่อชิ้น
รูปแบบของแท็ก (Form Factor)
- Inlay: แผ่นบางสำหรับฝังในฉลาก
- Label: ฉลากที่มีข้อมูล RFID
- Card: บัตร เช่น บัตรพนักงาน
- Badge: แท็กแบบคล้องหรือกลัด
- Hard Tag: แท็กที่มีโครงสร้างแข็งแรง
ประเภทความถี่ (Frequency Type)
- LF (Low Frequency)-คลื่นความถี่ต่ำ
- NFC (Near Field Communication)
- HF (High Frequency)-คลื่นความถี่สูง
- UHF Passive (Ultra-High Frequency – แบบไม่มีแบตเตอรี่)
• 902 – 928 MHz (FCC – สหรัฐฯ)
• 865 – 868 MHz (ETSI – ยุโรป)
• หรือช่วงกว้าง 865 – 960 MHz (Global) - BAP (Battery-Assisted Passive): แบบมีแบตเตอรี่ช่วย
- Active: แบบมีแบตเตอรี่ในตัว
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Factors)
- กันน้ำ (Water resistant)
- แข็งแรง ทนทาน (Rugged)
- ทนต่ออุณหภูมิสูง/ต่ำ (Temperature resistant)
- ทนต่อสารเคมี (Chemical resistant)
ความสามารถในการปรับแต่ง (Customizable)
- รูปทรง (Shape)
- ขนาด (Size)
- ข้อความหรือรหัส (Text)
- การตั้งค่าข้อมูล (Encoding)
คุณสมบัติเฉพาะ / การใช้งานเฉพาะด้าน (Specific Features / Applications)
Laundry Tags: แท็กสำหรับติดผ้า ใช้กับระบบซักล้าง
Sensor Tags: แท็กที่ฝังเซ็นเซอร์
Embeddable Tags: แท็กที่ฝังในอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์
Autoclavable Tags: แท็กที่ทนต่อการฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำแรงดันสูง
Vehicle Tags: แท็กติดยานพาหนะ
High Memory Tags: แท็กที่มีความจุข้อมูลสูง
พื้นผิวเฉพาะที่แท็กสามารถติดได้ (Specific Surface Materials)
Metal mount tags: แท็กสำหรับติดบนโลหะ
Glass mount tags: แท็กสำหรับติดบนกระจก
Tags for Liquid-filled items: แท็กที่ใช้งานได้แม้ติดอยู่กับของเหลว